1. งานทดสอบความสมบูรณ์ของเสาเข็ม (Pile Integrity Test)
- Low Strain Integrity Test (Seismic Test)
- Side Echo Test
- Single Shock End Test
- Cross Hole Sonic Logging Test
Low Strain Integrity Test (Seismic Test)
การทดสอบความสมบูรณ์ของเสาเข็มด้วยวิธีการส่งคลื่นความเค้น (Stress Wave) ผ่านลงไปในตัวเสาเข็มแล้วบันทึกสัญญาณสะท้อนกลับนำมาวิเคราะห์แปรผล โดยทั่วไปเรียกว่า Seismic Integrity Testing หรือ Sonic Integrity Testing หรืออาจเรียกว่า Low-Strain Integrity Testing การทดสอบดังกล่าวนี้เป็นไปตามมาตรฐาน ASTM D-5882: Standard Test Method for Low Strain Integrity Testing of Piles นอกจากนี้ส่วนงานดังกล่าวยังได้รับการรับรองตามมาตรฐาน ISO9001:2015 ซึ่งเป็นบริษัททดสอบเสาเข็มรายแรกและรายเดียวที่ได้รับการรับรองในส่วนนี้
การทดสอบด้วยวิธีการดังกล่าวนี้เป็นที่นิยมแพร่หลายมากในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นการทดสอบที่สะดวกและรวดเร็วเสียค่าใช้จ่ายต่ำกว่าวิธีการทดสอบแบบอื่น ๆ หากมีการเตรียมการที่ดีอาจสามารถทดสอบได้มากกว่า 100 ต้นต่อวัน สามารถใช้ได้ทั้งเสาเข็มคอนกรีตอัดแรง, เสาเข็มเจาะหล่อในที่และเสาเข็มเหล็กแบบต่าง ๆเสาเข็มทดสอบจะถูกตอกด้วยค้อนทดสอบ แรงกระแทกที่เกิดขึ้นจะทำให้เกิดคลื่นความเค้นอัด (Compression Wave) วิ่งผ่านลงไปในตัวเสาเข็มหากเกิดความไม่ต่อเนื่องขึ้นในหน้าตัดของเสาเข็ม เกิดรอยแตกร้าวหรือคอนกรีตสภาพไม่ดี หรือพบปลายเสาเข็มคลื่นสัญญาณดังกล่าวจะเกิดการสะท้อนกลับและถูกบันทึกไว้โดยละเอียดและแปลงสัญญาณให้อยู่ในรูปของความเร็ว (Velocity) กับเวลา (Time) เพื่อนำมาแปรผลต่อไป
การทดสอบความสมบูรณ์ของเสาเข็มทางด้านข้าง (Side Echo Test) เป็นการทดสอบที่พัฒนามาจากการทดสอบความสมบูรณ์ของเสาเข็ม ด้วยวิธี Seismic Integrity Test ทั่วไป เพื่อให้สามารถทดสอบความสมบูรณ์ของเสาเข็มในกรณีที่ไม่สามารถติดหัววัดสัญญาณที่หัวเสาเข็มได้ เช่นกรณีที่มีโครงสร้างด้านบนอยู่เหนือหัวเสาเข็มทดสอบแล้ว เพื่อทดสอบประเมินความสมบูรณ์ของเสาเข็ม รวมไปถึงสามารถประเมินความยาวเสาเข็มได้ (ในกรณีที่พบสัญญาณสะท้อนกลับที่ปลายเข็มอย่างชัดเจน)
Single Shock End Test
การทดสอบความสมบูรณ์ของเสาเข็มโดยวิธี Single Shock End Test เป็นการทดสอบตามมาตรฐาน ASTM D-5882: Standard Test Method for Low Strain Integrity Testing of Piles เช่นเดียวกับการทดสอบ Low Strain Integrity Test (Seismic Test) แต่จะปรับเปลี่ยนเครื่องมือทดสอบให้สามารถตรวจสอบคุณภาพของคอนกรีตบริเวณหรือใกล้เคียงหัวเสาเข็มทดสอบได้ ซึ่งเป็นข้อจำกัดและอาจไม่ตรวจสอบคุณภาพคอนกรีตบริเวณหรือใกล้เคียงหัวเสาเข็มทดสอบได้แน่ชัดด้วยวิธีการ Low Strain Integrity Test (Seismic Test) การทดสอบดังกล่าวนี้ใช้ค้อนทดสอบเป็นแบบ Instrumented Hammer สามารถตรวจวัดแรงกระทำ และนำมาเปรียบเทียบกับคลื่นสัญญาณความเร็วที่ได้จากหัววัดสัญญาณคลื่นความเร่ง (Accelerometer) เพื่อนำมาประเมินผลสภาพของคอนกรีตบริเวณหรือใกล้เคียงหัวเสาเข็มทดสอบ
.
Cross Hole Sonic Logging Test
การทดสอบความสมบูรณ์ของโครงสร้างเสาเข็มด้วยวิธี Cross Hole Sonic Logging เป็นการทดสอบความสมบูรณ์ของเนื้อคอนกรีตตามมาตรฐาน ASTM D-6760 โดยการส่งผ่านคลื่นเสียง (Ultra Sonic Pulse) จากหัวส่งสัญญาณไปยังหัวรับสัญญาณ โดยที่ระยะเวลาที่คลื่นใช้ในการเดินทางผ่านเนื้อคอนกรีตที่มีคุณสมบัติคงที่จะมีค่าเท่ากันตลอดช่วงความยาวเข็ม แต่ในกรณีที่ช่วงใดช่วงหนึ่งมีสภาพเนื้อคอนกรีตเปลี่ยนแปลงไป ระยะเวลาที่คลื่นใช้ในการเดินทางจากหัวส่งสัญญาณไปยังตัวรับสัญญาณจะมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เนื่องจากความเร็วคลื่นที่ใช้ในการเคลื่อนที่มีการเปลี่ยนแปลง การทดสอบด้วยวิธีดังกล่าวนี้เป็นวิธีการทดสอบที่นิยมมากในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นวิธีการทดสอบที่สะดวก รวดเร็ว และสามารถทำการทดสอบได้โดยตลอดทั้งต้น การทดสอบด้วยวิธีดังกล่าวสามารถดำเนินการได้ทั้งในโครงสร้างเสาเข็มเจาะ, Caisson, เสาเข็ม Barrette และโครงสร้างกำแพงกันดิน (Diaphragm Wall) ซึ่งโครงสร้างในลักษณะดังกล่าวนี้สาเหตุสภาพไม่สมบูรณ์ที่อาจเกิดขึ้นพอจะสรุปได้คร่าว ๆ ดังนี้
- ความเป็นโพรงของเนื้อคอนกรีต เนื่องจากการจี้ (Vibration) ไม่เพียงพอในขณะเทคอนกรีต
- การแยกตัวที่เกิดจากการจี้ (Vibration) ที่มากเกินไป ระหว่างส่วนผสมในคอนกรีต
- การชะล้างของปูนซีเมนต์ที่เกิดจากการที่น้ำใต้ดินไหลผ่าน
- รอยแตกร้าวที่เกิดจากการหดตัวของเนื้อคอนกรีต
- สิ่งแปลมปลอมที่ผสมอยู่ในเนื้อคอนกรีต
- รอยคอดหรือการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของเสาเข็มที่เกิดจากการพังทลายของดินรอบข้างใน
ระหว่างที่ทำการถอนปลอดเหล็กกันดินพังทลาย (Casing) ท่อทดสอบ (Sonic Access Tube) จะถูกทำการติดตั้งพร้อมกับโครงเหล็กเสริมก่อนทำการเทคอนกรีตโดยทั่วไปที่ใช้จะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 50.00 มิลลิเมตร โดยจะทำการผูกยึดติดกับโครงเหล็กเสริม (Rebar Cage) เพื่อให้มั่นใจว่าท่อดังกล่าวจะอยู่ในแนวดิ่ง ชนิดของท่อที่ใช้สามารถใช้ได้ทั้งท่อ PVC และท่อเหล็ก แต่ท่อเหล็กจะได้เปรียบกว่าในแง่ของการยึดเหนียวกับคอนกรีต (Bonding) โดยทั่วไปการทดสอบสามารถเริ่มได้หลังจากเทคอนกรีตไว้ประมาณ 7-21 วัน ขึ้นอยู่กับขนาดหน้าตัดและความลึกของเสาเข็มหรือโครงสร้างทดสอบ